9/10/2555

ยุทธศาสตร์พลังงานทดแทน

พลังงานทดแทน หมายถึง พลังงานที่นำมาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถแบ่งตามแหล่งที่ได้มากเป็น 2 ประเภท คือ พลังงานทดแทนจากแหล่งที่ใช้แล้วหมดไป อาจเรียกว่า พลังงานสิ้นเปลือง ได้แก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ หินน้ำมัน และทรายน้ำมัน เป็นต้น และพลังงานทดแทนอีกประเภทหนึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วสามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก เรียกว่า พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้ำ และไฮโดรเจน เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะศักยภาพ และสถานภาพการใช้ประโยชน์ของพลังงานทดแทน
การศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นการศึกษา ค้นคว้า ทดสอบ พัฒนา และสาธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่นๆ เพื่อให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม สำหรับผู้ใช้ในเมือง และชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าวยังรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์เพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย งานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรงภายใต้แผนงานนี้คือ โครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงาน และมีความเชื่อมโยงกับแผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า ประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทนจะเป็นงานประจำที่มีลักษณะการดำเนินงานของกิจกรรมต่างๆ ในเชิงกว้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ทั้งในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอุปกรณ์เครื่องมือทดลอง และการทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุน และรองรับความพร้อมในการจัดตั้งโครงการใหม่ๆ ในโครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงานและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น การติดตามความก้าวหน้าและร่วมมือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นและเป็นงานส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่กำลังดำเนินการให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการที่เสร็จสิ้นแล้วได้นำผลไปดำเนินการส่งเสริมและเผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมต่อไป




กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน
เลขที่ 17 ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
ติดต่อสอบถาม : Tel. 0-2223-2593-5 , 0-2222-4102-9
Fax. 0-2225-3785 Email : webmaster@dede.go.th

หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ (หมู่บ้านพลังงานทางเลือก)

หมู่บ้านแม่ข่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ (หมู่บ้านพลังงานทางเลือก)
หมู่บ้านหนองมัง ต.โนนกลาง อ. สำโรง จ.อุบลราชธานี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ข้อมูลพื้นฐาน
บ้านหนองมังเป็นชุมชนขนาดใหญ่ตั้งมาประมาณ 100 ปี การประกอบอาชีพส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร โดยมีการ ทำนาเป็นหลัก และทำสวนเป็นอาชีพรอง รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ เช่นวัว ควาย และสุกร ภูมิประเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ ดินร่วนปนทราย ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ พื้นที่ส่วนใหญ่มีความเป็นกรดสูงไม่เหมาะกับการเพาะปลูก จึงทำให้ผลผลิต จากการทำนาไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตาม ชุมชนนี้มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต โดยทำการเกษตรอินทรีย์แบบปลอดสารพิษ และมีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน ตลอดจนมีผู้นำชุมชนที่มีความรู้ ความสามารถทางด้านการเกษตรอินทรีย์แบบปลอดสารพิษ
ในปี พ.ศ. 2549 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้ดำเนินโครงการการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาชุมชนวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างเสริมให้ชุมชนมีกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยการศึกษาวิจัย โดยใช้เหตุและผลควบคู่กับการใช้ปัญญา ซึ่งสามารถสร้างความรู้เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมกับสังคมและสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการพัฒนากระบวนการเรียนรู้บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชน และการทำแผนชุมชนเพื่อเป็นเครื่องมือให้ชุมชนร่วมกันพัฒนาชุมชนของตนเอง โดยมียุทธศาสตร์เป้าหมาย 6 แผนหลัก ได้แก่ แผนเศรษฐกิจ แผนสิ่งแวดล้อมและพลังงาน แผนพัฒนากิจกรรมการผลิต แผนพัฒนาการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ แผนการศึกษา และแผนเสริมสร้างสุขภาพจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการชุมชนในหมู่บ้านเพื่อเป็นตัวแทนในการดำเนินงานจัดเก็บข้อมูลครัวเรือนตามแบบสอบถามเศรษฐกิจและสังคมที่พัฒนาโดยโครงการ ฯ และได้ประมวลผลร่วมกับชุมชน ซึ่งเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ตามเหตุและปัจจัย การเรียนรู้ในชุมชน เพื่อการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาในระดับชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยจะก่อให้เกิดผลลัพธ์และผลกระทบที่ชัดเจนและเป็นต้นแบบในการขยายผลสู่ชุมชนอื่นต่อไป
สำหรับเทคโนโลยีที่นำไปถ่ายทอดให้แก่ชุมชน ได้แก่ การแปรรูปรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า เทคโนโลยีการผลิตงาอินทรีย์แบบครบวงจร เป็นต้น




75/47 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2 333 3700 โทรสาร 0 2 333 3833 Call Center : 1313 อีเมล์ : webmaster@most.go.th , :

การใช้เซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย


ประเทศไทยได้เริ่มมีการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 โดยหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข และมูลนิธิแพทย์อาสาฯ สำหรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนั้นได้รวบรวมข้อมูลและทดลองนำเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้ เมื่อปี พ.ศ. 2521 พร้อมกันนั้นได้มีนโยบายและแผนระดับชาติด้านเซลล์แสงอาทิตย์ บรรจุลงในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) และมีการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และใช้งานในปลายปีของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) โดยมีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กรมโยธาธิการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานหลัก จนถึงปี พ.ศ. 2540 มีหน่วยงานต่างๆ ได้ติดตั้งและ ใช้งานในลักษณะต่างๆ รวมกันแล้วประมาณ 3,734 กิโลวัตต์ ในปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้พัฒนาการใช้งานในลักษณะของการสาธิตเพื่อผลิตไฟฟ้าขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าร่วมกับพลังงานชนิดอื่นๆ เช่น ร่วมกับพลังน้ำ พลังงานลม กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นจะเชื่อมโยงเข้ากับระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งสามารถสรุปกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ได้ดังนี้




Copyright © 2009 --- Webdesign aus Tirol - All Rights Reserved.
Template Demo Joomla 1.5 Template by pc-didi..

ทิศทางธุรกิจพลังงานทดแทน 2555

ใน ปีแห่งความสุข 2555 พลังงานก็ยังคงเป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะพลังงานทดแทนที่ดูเหมือนจะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการพยายามแนะนำเรื่องของพลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ ของภาครัฐรวมไปถึงการสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน จนในปีที่ผ่านมาธุรกิจในด้านพลังงานทดแทนมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น และในปีนี้เรามาดูกันว่า พลังงานทดแทนชนิดใดที่มีแนวโน้ม ในการทำธุรกิจที่สดใส

เมื่อ เดือนที่ผ่านมามีการจัดสัมมนาในหัวข้อ “พลังงานทดแทนธุรกิจที่น่าลงทุน” ในงาน Innomart Technomart 2012 โดยเป็นความร่วมมือของกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและกระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรด้านพลังงานหลายท่าน โดยหัวข้อสัมมนาดังกล่าวจะชี้ให้เห็นเทรนด์ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่มีแนว โน้มและโอกาสให้ผลกำไรสูงสุด

พลังงานลมและแสงอาทิตย์
กล่าว ได้ว่าพลังงานทั้งลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับความสนใจอย่างมากในปีที่ผ่าน มา เนื่องจากการกระตุ้นธุรกิจจากภาครัฐด้วยการอุดหนุนราคาส่วนต่างรับซื้อไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า Adder ซึ่งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินส่วนต่างสูง อันดับต้นของจำนวนพลังงานทดแทนหลายชนิดจากภาครัฐ ส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานทดแทนทั้ง 2 ชนิดนี้อย่างมากมาย

ภาค รัฐจึงได้ปรับเปลี่ยนแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี โดยเพิ่มเพดานการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 500MW เปลี่ยนเป็น 2,000MW และพลังงานลมจากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 800MW เปลี่ยนเป็น 1,200MW ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนยอดฮิตทั้ง 2 ชนิดนี้

พลังงานชีวมวลและก๊าซชีวภาพ
พลังงาน จากชีวมวลและก๊าซชีวภาพเป็นพลังงานอีก 2 ชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมาเช่นกัน เนื่องจากสามารถหาวัตถุดิบในการผลิตได้ง่ายจากภายในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนการเกษตรโดยใช้แกลบชานอ้อย เป็นต้น ทำให้มีการปลูกไม้โตเร็วเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานชีวมวล ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตที่มากเกินไป ภาครัฐจึงมีการปรับแผนจากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 3,700MW ลดลงเหลือ 3,630MW

ขณะ ที่ก๊าซชีวภาพเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากการหาวัตถุดิบที่ง่าย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตมาจากขยะและยังเป็นการช่วยปัญหาด้านขยะลงอีกด้วย อีกทั้งกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อนและยังมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยีอีกด้วย การลงทุนก็ไม่สูงมาก ภาครัฐจึงปรับเพิ่มจากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 120MW ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 600MW

แปลงขยะให้กลายเป็นพลังงาน
นอก จากการเปลี่ยนสภาพให้ขยะกลายเป็นพลังงานก๊าซชีวภาพแล้วขยะยังสามารถนำมาผลิต พลังงานได้โดยตรงอีกด้วย โดยภาครัฐยังกำหนดไว้ตามแผนเดิมคือ 160MW ซึ่งขยะที่นี้หมายถึงขยะกลุ่มที่ไม่ใช่ขยะจากธรรมชาติ แต่เป็นกลุ่มขยะจากการสังเคราะห์เช่น พลาสติก เป็นต้น โดยรัฐบาลพยายามผลักดันให้มีการผลิตพลังงานจากขยะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมี ปริมาณขยะโดยเฉลี่ย 40,000 ตันต่อวัน ปริมาณดังกล่าวสามารถผลิตไฟฟ้าได้ราว 500MW

ขยะ พลาสติกก็สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันได้ โดยการสังเคราะห์สารสกัดปิโตรเลียมที่อยู่ในพลาสติก ซึ่งน้ำมันที่ได้สามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลในอุตสาหกรรมได้ และหากต้องการความบริสุทธิ์ก็ยังมีขั้นตอนและกระบวนการที่ช่วยให้น้ำมันที่ สังเคราะห์ที่ได้จากขยะสามารถใช้กับเครื่องยนต์รถยนต์ดีเซลทั่วไปด้วย โดยรัฐบาลมีการประกันราคารับซื้อน้ำมันดังกล่าวจากผู้ผลิตรายย่อยอีกด้วย

เอทานอลและไบโอดีเซล
เป็น ที่ทราบกันดีว่าน้ำมันที่ใช้ในรถยนต์ปัจจุบันเริ่มมีการผสมเชื้อเพลิงอื่น เข้าไปในสัดส่วนที่แตกต่างกันทั้งในกลุ่มน้ำมันเบนซิน เช่น แก๊สโซฮอล์ E10-E85 และกลุ่มน้ำมันดีเซลหรือที่เรียกกันว่าไบโอดีเซลซึ่งเป็นการผสมสารเอทานอลลง ไปในน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเอทานอลได้จากผลผลิตทางธรรมชาติไม่ว่าอ้อย มันสำปะหลัง เป็นต้น โดยปัจจุบันเอทานอลที่ได้สกัดจากกากน้ำตาลหรือโมลาส

ส่วน ไบโอดีเซลก็สามารถผลิตได้จากผลปาล์ม ซึ่งปลูกมากทางภาคใต้นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้ไบโอดีเซลมี ความบริสุทธิ์มากขึ้น

งาน นี้ขอ เคาะโต๊ะ เลยว่า พลังงานทดแทนที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนสามารถลงทุนได้ผลกำไรทั้งสิ้น แต่ต้องบอกว่ากลุ่มเอทานอลและไบโอดีเซลน่าลงทุนมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังสามารถเติบโตขึ้นได้อีกในแง่ของปริมาณการใช้ เช่น เอทานอลที่ในปัจจุบันหากผลิตเต็มกำลังจะสามารถผลิตได้ประมาณ 5 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้จริงอยู่ที่ราว 1 ล้านลิตรต่อวันและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

ขณะ ที่ไบโอดีเซลมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก เนื่องจากไบโอดีเซลสามารถผลิตได้จากหลายรูปแบบไม่ได้จำกัดเพียงปาล์มเท่า นั้น ซึ่งสืบเนื่องมาจากวิกฤติปาล์มขาดตลาดในปลายปี 2553 ทำให้มีการคิดค้นวิธีผลิตไบโอดีเซลไม่ว่าจะเป็นการผลิตจากผลสบู่ดำ, การใส่สารเติมแต่งจนได้น้ำมัน ED95, การผลิตน้ำมันดีโซฮอล์, การผลิตน้ำมัน BHD เป็นต้น ส่งผลให้การลงทุนในธุรกิจด้านนี้น่าสนใจมากที่สุด

ขณะ ที่กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์และลมมีการลงทุนค่อนข้างมากประกอบกับต้นทุนวัตถุ ดิบที่ถูกลง เมื่อความต้องการขาย (Supply) มากกว่าความต้องการซื้อ (Demand) จะส่งผลให้ต้องลดกำไรลงเพื่อแย่งชิงการขายพลังงานและนั่นจะทำให้ระยะเวลาคืน ทุนยาวนานออกไปอีกด้วย

ส่วน พลังงานจากชีวมวลจำเป็นต้องมีการลงทุนสูง เนื่องจากในอนาคตจำเป็นต้องมีการลงทุนในด้านของการปลูกไม้โตเร็ว เพื่อเพิ่มศักยภาพและเพิ่มปริมาณในการผลิต เพราะการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรจะขึ้นอยู่กับรอบของการผลิต ส่วนพลังงานก๊าซชีวภาพและพลังงานจากขยะ จะมีปัญหาใกล้เคียงกันคือเรื่องของปริมาณ เนื่องจากสามารถผลิตพลังงานได้คุ้มค่าจำเป็นต้องมีปริมาณขยะราว 200 ตันในคราวเดียวถึงจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 500MW

แต่ ในความเป็นจริงขยะมีการกระจายตัว ทำให้สามารถรวบรวมได้เต็มที่ 20 ตัน แม้ว่าการผลิตพลังงานจากขยะจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินถึง 5 เท่า แต่เมื่อดูในภาพรวมแล้ว การลงทุนด้านพลังงานจากขยะยังเป็นการลงทุนที่สูงและผลที่ได้ก็ยังไม่คุ้มค่า กับการลงทุนอีกด้วย




สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
123 ถ.มิตรภาพ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40002 โทรศัพท์ 043-362299 โทรสาร 043-362299
อีเมล emco1@kku.ac.th

9/09/2555

LNG (Liquefied Natural Gas) หรือก๊าซธรรมชาติเหลว

LNG (Liquefied Natural Gas) หรือก๊าซธรรมชาติเหลว คือ ก๊าซธรรมชาติที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการลดอุณหภูมิ ให้กลายเป็นของเหลวที่ -161.5 องศาเซลเซียส ที่ความดันบรรยากาศ หลังจากนั้นจึงถูกบรรจุลงถังเพื่อขนถ่ายทางเรือไปยังแหล่งที่มีความต้องการใช้ ซึ่งก๊าซธรรมชาติเหลว จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการเพิ่มความร้อนอีกครั้ง เพื่อทำให้กลับมีสถานะเป็นก๊าซดังเดิม

เพิ่มเติมสำหรับ LNG
LNG สามารถทำให้เกิด/ผลิตขึ้นได้ โดยขบวนการทำให้ก๊าซธรรมชาติที่ได้จากการผลิตจากหลุมผลิตปิโตรเลียม มาผ่านขบวนการแปรรูป (processing) โดยการแยกเอาสารประกอบต่างๆ ออกไป เข่น ก๊าซฮีเลียม และสารประกอบที่ไม่บริสุทธิ์ต่างๆ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (down stream) อื่นๆ เช่น น้ำ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหนักต่างๆ ออกไป


การควบแน่นให้เป็นของเหลวนั้นทำในระดับความดันของชั้นบรรยากาศปกติ (atmospheric pressure) ในขณะที่ค่าความดันที่กำหนด ในการขนส่ง LNG ตามปกติ นั้น (maximum transport pressure) ค่าความดันของก๊าซจะอยู่ที่ ประมาณ 25 kPa การควบแน่นทำได้โดยการลดอุณหภูมิก๊าซธรรมชาติลงให้เป็น -163 องศาเซลเซีบส


การขนส่งก๊าซนี้สามารถส่งด้วยเรือ และรถบรรทุกที่มีการออกแบบมาเป็นพิเศษ/โดยเฉพาะ (cryogenic sea vessel and cryogenic road tanker) เมื่อขนส่งมาถึงคลังเก็บก๊าซก็ต้องเก็บรักษาไว้ในถังเก็บที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย/สะดวก


LNG มีปริมาตรประมาณ 1/614 เท่า ของปริมาตรของก๊าซธรรมชาติ ที่อุณหภูมิ และความดันตามมาตรฐาน (standard temperature and pressure, STP)


คุณสมบัติทั่วไปของ LNG


LNG สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ดีได้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล เพราะ LNG ก่อให้เกิดมีมลพิษที่น้อยกว่าน้ำมันทั้งชนิดนั้น แต่ค่าการผลิต และการที่ต้องเก็บรักษาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษนั้น ทำให้มันมีสมรรถนะเชิงพาณิชย์ด้อยลงไป


ค่าความหนาแน่น ประมาณ 0.41-0.5 กิโลกรัม/ลิตร ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ค่าความดัน และองค์ประกอบ (compositions) ในขณะที่ค่าความหนาแน่นของน้ำนั้น อยู่ที่ 1.0 กิโลกรัม/ลิตร


ค่าความร้อน ไม่มีความแน่นอน เพราะมันเกิดจากก๊าซธรรมชาติที่มีองค์ประกอบของส่วนผสมที่มีแตกต่างกันมากมาย ทำให้ค่าความร้อนของมัน ขึ้นอยู่กับว่ามันถูกแปรรูปมาจากก๊าซธรรมชาติชนิด/แบบใด


ค่าความร้อนที่ประมาณว่าสูงที่สุด คือ 24 เมกะจูล/ลิตร ที่อุณหภูมิ -164 องศาเซลเซียส


ในขณะที่ค่าความร้อนที่ต่ำที่สุด คือ ประมาณ 21 เมกะจูล/ลิตร


ก๊าซธรรมชาติที่ส่งเข้าไปทำการแปรรูปในโรงงานแปรรูปเป็น LNG นั้น จะถูกทำให้มีการแยกเอาสิ่งต่างๆ เช่น น้ำ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ คาร์บอนไดออกไซด์ และสารประกอบอื่นใดที่สามารแข็งตัว (freeze) ได้ เช่น benzene ออกไป


LNG ส่วนใหญ่ที่ทำการแปรรูปแล้วจะมีก๊าซมีเทน (methane) อยู่เกินกว่า 90 % ขึ้นไป โดยมี ethane, propane, butane และ alkane ที่มีความหนัก ปนอยู่บ้างจำนวนเล็กน้อย


ในขบวนการแปรรูปให้ได้ LNG ที่มีความบริสุทธิ์สูงนั้น ค่าของมีเทน ควรจะเป็น 100% เต็ม


ในทางการค้า/พาณิชย์ นั้น LNG ถูกขนส่งทางเรือเดินสมุทรที่เดินทางไปได้ทั่วโลก


หมายเหตุ LPG (Liquid petroleum gas) หรือที่บางทีเรียกกันว่า โพรเพน (propane) นั้น มักจะสร้างความสับสนระหว่าง คำว่า LNG กับ LPG ได้


โดย LPG นั้น เก็บในภาชนะบรรจุ/ถังในรูปของของเหลว โดยใช้ความดันเพียงอย่างเดียว อย่างที่เราเห็นกันในถังก๊าซท้ายยานพาหนะต่างๆ ทั่วไป ที่วิ่งกันบนท้องถนน รวมทั้งก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไป ที่มีขนาดบรรจุถังน้ำหนัก 5-15-50 กก.ตามลำดับ

ที่มา:วลัย ตะเวทิพงศ์ แปล และเรียบเรียง จาก http://en.wikipedia.org/wiki/LNG



ทำไมจึงต้องหาพลังงานทดแทน

จากปัญหาเรื่องน้ำมันในตลาดโลกมีราคาแพงและประเทศไทยต้องเสียเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าน้ำมัน ประกอบกับอัตราการใช้น้ำมันของประเทศไทย โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ ความต้องการน้ำมันดีเซลเป็นปริมาณ 9,928 ล้านลิตร ในปี พ.ศ. 2533 และเพิ่มเป็น 18,273 ล้านลิตร ในปี พ.ศ. 2547 หรือเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 4.5 ต่อปี การส่งเสริมและสนับสนุนใช้น้ำมันพืชซึ่งเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่สามารถผลิตได้เองในประเทศมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน เป็นการรักษาเงินตราต่างประเทศ สร้างความมั่นคงและสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของประเทศ อีกทั้งยังช่วยสร้างตลาดที่มั่นคงให้กับผลผลิตทางการเกษตรอีกด้วย

การใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซลไม่ใช่ของใหม่ มีการใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ด้วยน้ำมันจากปิโตรเลียมยังมีราคาถูกและหาได้ง่าย ทำให้น้ำมันพืชไม่ได้รับความสนใจในการใช้แทนน้ำมันดีเซล หลังจากวิกฤตน้ำมันของโลกในปี พ.ศ. 2514 หรือ ค.ศ. 1971 เป็นต้นมา ได้เริ่มมีความตื่นตัว และความพยายามหาพลังงานทดแทนมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable energy) ที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น น้ำมันพืชเป็นพลังงานหมุนเวียนชนิดหนึ่งที่ได้รับการสนใจ นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซลอีกครั้ง ในต่างประเทศ มีการนำน้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันใช้แล้ว มาใช้ทดลองเดินเครื่องยนต์ดีเซล สำหรับประเทศไทยได้เคยมีงานวิจัยในเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 โดยทดลองใช้น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันเมล็ดสบู่ดำ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม รวมถึงเอสเตอร์ของน้ำมันปาล์ม เป็นพลังงานทดแทนในเครื่องยนต์ดีเซล เมื่อวิกฤตน้ำมันผ่านไป ความสนใจในการวิจัยค้นหา และศึกษาความเหมาะสมในการใช้พลังงานทดแทนจากน้ำมันพืชก็ลดน้อยลง รวมถึงไม่มีการสนับสนุนงบประมาณการวิจัยในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้อมูลการใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซลของประเทศมีจำกัด จนถึงเมื่อมีวิกฤตน้ำมันแพงอีกครั้งเมื่อกลางปี พ.ศ. 2547 ราคาน้ำมันดิบถีบตัวขึ้นสูงถึง 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงไป ทำให้มีการพูดถึงการนำน้ำมันพืชมาใช้เป็นพลังงานทดแทนกันมากขึ้น

ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงได้ปรับปรุงยุทธศาสตร์พัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 ทั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมายจะส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มจากวันละ 2.4 ล้านลิตร ในปี พ.ศ. 2554 เป็น วันละ 8.5 ล้านลิตรในปี พ.ศ. 2555 โดยจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดพื้นที่ปลูก จัดหาพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูก และถ่ายทอดการบริหารจัดการปลูกปาล์ม ตลอดจนการพัฒนาพืชน้ำมันอื่นสำหรับในพื้นที่ไม่เหมาะสมจะปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศให้เรื่องพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ



ไบโอดีเซล: เชื้อเพลิงชีวภาพทดแทนน้ำมันดีเซล

สำนักวิจัย ค้นคว้าพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน



© Copyright 2007 Ministry of Energy
ติดต่อสอบถาม ที่ pr@energy.go.th

พลังงานทดแทนจากขยะภายในบ้าน

ทุกวันนี้สังคมไทยมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งอุปโภคบริโภค และด้านอื่นๆ จนก่อให้เกิดปริมาณขยะมูลฝอยที่มีมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การซื้อของใช้ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ ทำให้เกิดขยะมูลฝอย ประเภทขยะแห้ง อย่างใบเสร็จรับเงิน หรือการกินนอกบ้านทำให้เกิดขยะเปียกจากเศษอาหาร เป็นต้น


รูปภาพประกอบ ประเภทที่มาของประเภท และแหล่งที่มาของขยะ (ที่มา : www.thaienergydata.in.th)


หากไม่มีการนำขยะไปใช้ประโยชน์ ขยะจะมีสัดส่วนที่มากขึ้นและปี 2558 จะมีปริมาณขยะต่อวันถึง 49,680 ตัน หรือ 17.8 ล้านตัน
(ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/พลังงานทดแทน)


พลังงานจากขยะคืออะไร
พลังงานที่ได้จากขยะของบ้านเรือนหรือกิจการต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูง ขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมวลชีวภาพ เช่น กระดาษ เศษอาหาร และไม้ เป็นต้น สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าที่ถูกออกแบบให้ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงได้

รูปภาพประกอบ การนำขยะมาใช้ใหม่ของประเทศไทย (ที่มา : www.thaienergydata.in.th)


ในประเทศไทยมี บริษัท โรงไฟฟ้าแม่สอด จำกัด ที่เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง โดยนำขยะมาเผาบนตะแกรง เพื่อให้ได้ความร้อนที่เกิดขึ้นใช้ต้มน้ำในหม้อน้ำจนกลายเป็นไอน้ำเดือด ซึ่งจะไปเพิ่มแรงดันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า


“ พลังงานขยะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาด เทคโนโลยีที่เหมาะสม ”


เทคโนโลยีพลังงานขยะ


ในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยนำขยะมาใช้เป็นพลังงานทดแทน ทั้งเพื่อลดปริมาณขยะที่เกิดมากขึ้นในทุกวัน พลังงานทดแทนจากขยะ ที่ได้ออกมาจะอยู่ในรูปของความร้อน ไฟฟ้า เชื้อเพลิง เป็นหลักขยะสามารถนำมาผลิตพลังงานได้ เช่น ก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะ (Landfill gas) การผลิตความร้อนและกระแสไฟฟ้าจากการเผา (Incineration) ก๊าซชีวภาพจากการหมัก (Anaerobic Fermentation) เชื้อเพลิงขยะอัดก้อน (Refuse-Derived Fuel, RDF) และกระบวนการ Gasification & Ash Melting ซึ่ง เทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทนจากขยะในรายงานที่จัดทำขึ้นนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้


1.เทคโนโลยีผลิตพลังงานจากขยะโดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี (Bio-chemical Conversion ) ได้แก่
เทคโนโลยีย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน การผลิตพลังงานจากขยะมูลฝอยโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะ
(Landfill Gas to Energy)

2.เทคโนโลยีผลิตพลังงานจากขยะโดยกระบวนการทางเคมีความร้อน (Thermo-chemical Conversion) ได้แก่
เทคโนโลยีการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากขยะ (MSW Gasification) การแปรรูปขยะมูลฝอยไปเป็นพลังงานความร้อนโดยใช้เตาเผา
(Incineration) ขยะเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel) โรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง


ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีก็สามารถแปรรูปพลังงานออกมาต่างกัน ซึ่งหากสรุปพลังงานที่ได้ออกมาโดยรวมแล้วจะได้ พลังงานความร้อน พลังงานไฟฟ้า และพลังงานในรูปเชื้อเพลิง ดังนั้นการแยกขยะจากชุมชน บ้านเรือน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ประเทศไทยลดขยะที่มีอยู่ได้อย่างมาก และช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย

“ หากทุกคนช่วยคัดแยกขยะภายในบ้านของตนเอง จะทำให้ได้พลังงานทดแทนที่มากขึ้นมากตามไปด้วย ”



ลิขสิทธิ์ © 2555 การจัดการความรู้สิ่งแวดล้อม สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 15. สงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งหมด.
Joomla! เป็นซอฟท์แวร์เสรีภายใต้ลิขสิทธิ์ GNU/GPL License.
เว็บนี้ขับเคลื่อนด้วย จูมล่าลายไทย